วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2561

๏ ลายเสือ

สิ่งหอมหวานซ่านโศกในโลกล้วน
ก็สมส่วนสูเจ้าจะเท้าถึง
ยุติธรรม,อำนาจ,ขาดคำนึง
ย่อมเสื่อมซึ่งแซ่ซ้องอยู่นองเนือง
                 ..      
หลังมื้อเช้าสภาพร้อมหน้านั้น
ต่างหวาดหวั่นวุ่นวายกับหลายเรื่อง
ถกถึงทุกข์เทียบท่ามาจมเมือง
เค้นปมเขื่องคืออำนาจได้ขาดดุล

ความบาดหมางพรางตัวทั่วทั้งสิ้น
จะกัดกินใจกันถึงขั้นขุ่น
เริ่มระแวงแซงหน้าก่อนการุณย์
จากอบอุ่นก็อ้าวราวไฟลน

ลุเวลารอบเที่ยงยังเถียงถาม
หลายข้อข้ามคุยโวโกลาหล
เสนอหน้าหนึ่งเน้นประเด็นดล
ขยับย่นยังเหตุแห่งเภทภัย
                ..            
ข้าแต่ท่านราชสีห์ หมีกล่าว
สบเสือดาวเสือโคร่งโขยงใหญ่
หลังลัดเลาะเสาะเห็นความเป็นไป
จึงอาจใช่เช่นนี้กลียุค

หมีทำหน้าตาตื่นตอนฝืนเล่า
เหมือนหาเหาใส่หัวให้ตัวจุก
แต่เพื่อผองพ้นวันบรรเทาทุกข์
จำต้องลุกขึ้นเขียงเสี่ยงชีวิต

ราชสีห์ตีหน้าข้าก็ใหญ่
จะหน้าไหนโหมฮือขึ้นถือสิทธิ์
จงเล่าเหตุเภทพันธ์กระชั้นชิด
อันจะติดตามมาอย่าช้านาน

หมีเล่าว่าฟ้าสางอุษาส่อง
ลมจะล่องเลือดแรงสิแดงฉาน
เผ่าพันธุ์เสือทั้งมวลชวนทะยาน
จะหักหาญท่านให้บรรลัยลง

หมู่เสือดำนำหน้ามาจวนแจ้ง
เท่าแถลงก่อการแทนสารส่ง
มุ่งทะลวงทวงถางถึงกลางดง
ต่อจำนงท่านไท้ที่ใคร่ครวญ

ซึ่งเสือโคร่งเสือดาวราวสิบร้อย
จะคงคอยค้อมคู้ไม่สู้สวน
หากคำตอบแต่ท่านท้าขบวน
ทั้งหมดล้วนลุยแลกถึงแตกตาย
                 
พญาราชสีห์ตีหน้าหนัก
มองมิตรรักก็ร้างลงห่างหาย
หาให้ภักดิ์เพียงนั้นอันตราย
อาจสุดท้ายเท่าถมที่จมจน

หากให้ยอมอย่างเปลี้ยก็เสียสิงห์
แม่ทัพทิ้งฐานทัพนับใช่ฉล
มีหรือหลบลงใจในจำนน
แม้นเพียงผลแต่พ่ายต้องอายเอา

ต่อแต่นี้ถี่ห่างกางกลศึก
ซ่อนสำนึกหดหู่ให้สู้เขา
จัดกำลังยั้งอยู่ดูลาดเลา
แลรู้เท่าถึงการณ์ก่อนมารมา

ทั้งระดมคมเขี้ยวเรียวเล็บแหลม
อยู่รั้งแรมรอรับกับโถมถา
อีกเกณฑ์ไกลวัยเด็กเล็กชรา
ให้จัดหาคุ้มหัวโดยทั่วทัน

ราชสีห์สั่งการผ่านพวกพ้อง
ซึ่งสยองยั้งทาสที่หวาดหวั่น
รอเวลาฟ้าสางต่างยืนยัน
แม้อาสัญเสี่ยงสู้ไม่ดูดาย
                ..                 
ดึกสงัดพัดพ้อหนอลมหนาว
มองดินดาวด่างพร้อยไม่น้อยหน่าย
ยุคเกิดก่อฉ้อฉลจนวุ่นวาย
จะดีร้ายแหลกลงไม่คงคิด

แค่ค่ำมืดฝืดเคืองเรื่องเล็กน้อย
เท่าทยอยเหลื่อมล้ำอำมหิต
รังแต่ร้างห่างเห็นความเป็นมิตร
คอยชูคอต่อสิทธิ์ให้ชิดชัง

สิงห์ชรารำพึงถึงที่สุด
จะยื้อยุดอย่างไรไฟสองฝั่ง
อำนาจอำย้ำยศยิ่งบดบัง
ให้ร้อนหลังหน้าหนักนับแต่นี้
              ..   
 

ม่านฟ้ารุ่งรำไรเสียงไก่ขัน
หลายโลกฝันร่ำลาหมดหน้าที่
สังหรณ์แห่งผู้เฒ่าเข้าใจดี
หายนะปฐพีในพี่น้อง

นึกภาพเก่าเกรอะกรังตอนยังหนุ่ม
สิบสิรุมข้านี้ไม่มีสอง
สู้เยี่ยงสิงห์ช่วงนั้นมันลำพอง
บัดนี้หมองมากหน้าชราลง

หลังชนป่าปราการด่านสุดท้าย  
คงวอดวายไม่เว้นเป็นผุยผง
เมื่อไมตรีหรี่ร้างอยู่กลางดง
ดังสาปส่งชีวิตให้นิทรา
                ..
เสียงโครมครามถามไถ่เจ้าไก่แก้ว  
มันบุกแล้วเสือดำนั้นนำหน้า
ตะลุมรบแลกเล่ห์หลายเพ-ลา
แทบสิ้นท่าเซซวนกระบวนยุทธ์

สิงห์สองร้อยด่านแรกเริ่มแตกพ่าย  
แม้ต้านตายเต็มกล้ามหาอุด
ฤๅพ้นพบเพลี่ยงพล้ำแลชำรุด
หลังสู้สุดใจสิงห์ก็ทิ้งทวน

ทัพหน้าในจำนนอลหม่าน  
ทั้งลนลานโอดโอยนั้นโหยหวน
ทุกขเนตรเขตขัณฑ์ข้ามรัญจวน
ต่อร่วงล้วนเจ็บหลายวายชีวา
                  ..
เมื่อรักกันมันยากลำบากบอก  
สู้สำรอกฤทธิ์รักหักองศา
เมื่อร้างรักศักดิ์มิตรให้คิดครา-
นี้หนอป่าป่วนไฟประลัยลง
                 ..
เสือห้าร้อยรุกฆาตอนาถนั้น  
มุห้ำหั่นเกินห้ามปรามประสงค์
สู่สุดท้ายปลายทางที่กลางดง
จ้องจะปลงปราบไท้ให้จำนน

สามร้อยราชสีห์ใช่หนีหน้า  
ทั้งพญาอยู่ไซร้ไม่หันหน
ค่ำจะเคียงข้างค้ำกำลังพล
พร้อมผจญจากนี้กลีกาล
              ..
สนธยาย่างเยื้องชำเลืองโลก  
แกล้มกลิ่นโศกลมโชยอาขยาน
กล่อมการุณย์หลับล่วงแห่งดวงมาน
ก็หาต้านตมใจให้ย้อนยิน

ยุคขยับนับหน้าแต่ฟ้าฟุ้ง  
รั้นจรุงโลกล่มอสมสิน
สืบแต่นี้เบื้องหน้าทั้งธานินทร์
ให้เสี่ยงสิ้นป่าสร้างแต่บางบรรพ์

ม้วยเมืองฟ้าป่าดงสิ้นองอาจ  
ไหนอำนาจจะมีให้ขี่ขั้น
เมื่อสิ้นหมดอดทั่วทุกตัวตัน
อย่าหวังวันที่ว่าจะอ่าองค์

เสวนาคารมพอสมสิทธิ์  
ก็มืดมิดเหมือนใจในหลุมหลง
ต่างโทษกันโกรธเกรี้ยวอยู่เดียวดง
แจ้งจำนงจากนี้ก็กรีฑา  
                ..
ทัพปะทะสะสางที่หมางไหม้  
ขณะไฟลามพื้นสู่ผืนป่า
ทะเลเพลิงเชิงยุทธ์สุดสายตา
ต่างไล่ล่าโรมรันกระชั้นชิด

ไม่ฆ่าก็ถูกฆ่าน่าอนาถ  
ทั้งแขนขาดขาหายแทบตายติด
ต่างรุกรับราวีเซ่นชีวิต
เมื่อไร้มิตรมาถ่วงก็ร่วงลาญ

สิงห์สามเสือห้าร้อยต้องร่อยหรอ
นั่งกอดก่อความกล้าปาฏิหาริย์
ห้ำหั่นกันก็ล้าพญามาร
ทั้งแสบซ่านไฟลนจนเกือบเกรียม

สงครามซึ่งสองฝ่ายต่างพ่ายแพ้
ล้วนตกแต่ทุกข์โทษความโหดเหี้ยม
หาใช่ทางสร้างสัตว์ให้ทัดเทียม
เท่าที่เปี่ยมเมตตาปรานีกัน

สิ่งเตือนใจจึงเหลือให้เสือเห็น  
คือลายเซ่นสงครามครั้งห่าม,หั่น
เกิดแต่ไฟไหม้หลังยังดึงดัน
จึงลายนั้นเตือนตนต้องพ้นพาล
                ..
สิงห์ชรานั่งลงในกรงเก่า  
หลังจบเล่าเรื่องราวความร้าวฉาน
ผู้เฝ้าฟังนั่งหมอบอยู่รอบลาน
ล้วนมีบ้านอาศัยอยู่ในกรง

รุ่นสู่รุ่นเรื่อยมาเหมือนฟ้าหม่น
แต่ก่อนขนเยอะยาวราวหางหงส์
บัดนี้มีแค่คอให้พ้อพงศ์
ครั้งเคยหลงอำนาจขาดคุณธรรม.
 
        ธรรมดา
   ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๙

 


 
 


        

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

๏ เสียงกวี

                             
     กั                                                                                เสียงกวีที่กังวานแต่กาลก่อน
                                                                    ยังสะท้อนมาตามฝากความหวัง
                                                                    แม้ร่างลับกับกาลวิญญาณยัง
                                                                    เฝ้าห่วงหลังยังงานด้านกวี

                                                                    จากแดนทิพย์กระซิบมาให้หล้าชื่น
                                                                    โลกร่มรื่นรับเสียงเพียงดีดสี
                                                                     เหมือนแสงก่องส่องฟ้ายามราตรี
                                                                    ให้ฤดีรับรสสิ่งงดงาม

                                                                     กลอนจากจิตอุทิศเป็นเครื่องเซ่นสรวง
                                                                     น้อมบำบวงปวงกวีศรีสยาม
                                                                     ขอสร้างงานปานผกาบูชานาม
                                                                     ดำเนินตามกวีครูอยู่อาจิณ

                                                                     เพื่อแดนหนึ่งซึ่งกวียอมพลีร่าง
                                                                     เพื่อเสกสร้างสวนสวรรค์วรรณศิลป์
                                                                     ขอกรองคำจำเรียงเพียงเสียงพิณ
                                                                     กล่อมแดนดินยินดีอยู่จีรัง

                                                                      แม้มิชื่นเช่นผกาปาริชาต
                                                                      ทรงอำนาจน้อมกมลสู่หนหลัง
                                                                      เพียงเสียงกลอนกล่อมกมลชนผู้ฟัง
                                                                      น้อมใจยังแดนศิลป์ ก็ยินดี

                                                                      ประพันธ์โดย : .มะเนาะ ยูเด็น
      
 

  

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2561

๏ บางครั้ง

                                                                     
                                                                 บางครั้ง.ครึ่งครึ่งกลางกลางทางอารมณ์ 
                                                                 เขียนแล้วล่มล้าพับกับอักษร
                                                                 จึงเหมือนหมอกบังบ้างในบางตอน
                                                                 แล้วหลอกหลอนตัวตนทนเรื่อยมา

                                                                 บางครั้ง.ข่มใจกลัวได้มั่วเขียน
                                                                 พินิจเพียรเพ่งพร้อมยอมผวา
                                                                 อรรถรสเหลื่อมล้นจนปัญญา
                                                                 ระคนค่าความหมายไม่คล้ายกัน

                                                                 บางครั้ง.นั่งนิ่งนิ่งน้อมจิตหวน
                                                                 เพื่อหาส่วนซึ่งหายคล้ายความฝัน
                                                                 ดั่งนิยามถามทวงห้วงคืนวัน
                                                                 ก็คงมั่นไม่มั่ว เพียงชั่วคราว

                                                                 บางครั้ง.สังคีตาที่ว่าหวาน
                                                                 วาดนิทานปานเสกที่เมฆขาว
                                                                 ฝันฝากฟ้ามาดินได้ฝากดาว
                                                                 สะพรั่งพราวราวมณีที่ฟ้าไกล

                                                                  บางครั้ง.วังวนว่ายเช้าสายค่ำ
                                                                  มัวดื่มด่ำซ้ำซากเศษสมัย
                                                                  ลิขิตตนหล่นร่วงเหวลวงใจ
                                                                  กานท์กลอนใดหรือจะเลิศ เตลิดจม

                                                                ธรรมดา
                                                                                 ๓๐/๑๐/๒๕๕๔
 
 

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561

๏ ใบไม้ป่า


 

                                                                          ใบ้ไม้ร่วงหนึ่งใบในราวป่า
                                                                          ยังดีกว่าใบไม้เหลืองในเมืองหลวง
                                                                          ที่รอปลิดหล่นเปล่าประโยชน์ปวง
                                                                          เป็นด่างดวงดำเปื้อนในป่าคน

                                                                          ใบไม้ป่าร่วงแล้วได้เลี้ยงป่า
                                                                           ทิ้งลงมาเลี้ยงรากเลี้ยงลำต้น
                                                                           เหมือนแม่ให้นมลูกปลูกฝังจน
                                                                           ลูกเติบตนโตแทนเต็มแผ่นดิน

                                                                           เมื่อเมืองคนคั่งคับด้วยคนป่า
                                                                           คนดีก็ด้อยค่าเหมือนกรวดหิน
                                                                           เมื่อสัตว์ป่าสร้างป่าไว้หากิน
                                                                           สัตว์เมืองก็ต้องสิ้นวิสัยเมือง

                                                                           ใบไม้ป่าชื่อจิตร ภูมิศักดิ์
                                                                           ได้ร่วงลงเป็นหลักให้โลกเลื่อง
                                                                            ดั่งเทียนป่าปลุกแสงขึ้นแรงเรือง
                                                                           ไม่เปล่าเปลืองลมปราณที่ต้านลม

                                                                            ลมประสานเสียงแคนว่าแค่นแค้น
                                                                            เปิบข้าวทุกคราวแค่นความขื่นขม
                                                                            เหงื่อกูรินตากูแล้งน้ำแห้งตรม
                                                                            ร่างกูซมซานไข้จนเขียวคาว

                                                                            เสียงปืนดังเปรี้ยงกว่าเสียงปาก
                                                                            ก็ปิดฉากชีวิตมืดมิดหนาว
                                                                            แต่วิญญาณคือทิพย์ที่ยืนยาว
                                                                            ดั่งดวงดาวยิ่งดึกยิ่งดื่นตา

                                                                            กาลเวลาฆ่าจิตร ภูมิศักดิ์
                                                                            กาลเวลาก็ตระหนักประจักษ์ค่า
                                                                            กาลเวลาฆ่าคนดีทุกทีมา
                                                                            แต่เวลาก็ทูนเทิดเชิดคนดี

                                                                            ใบไม้ร่วงหนึ่งใบในราวป่า
                                                                            เพื่อแตกมาเป็นใบใหม่ในทุกที่
                                                                            จิตรหนึ่งดวงดับไปในวันนี้
                                                                            เพื่อจะมีจิตรใหม่มากมายดวง

                                                                            ถ้าสัตว์เมืองสร้างเมืองเป็นป่าได้
                                                                            เราก็เหมือนใบไม้ในเมืองหลวง
                                                                            ที่โหยหาป่าเขาเปลี่ยวเปล่าปวง
                                                                            จิตรจะร่วงลงทั้งป่าเข้ามาเมือง
 
                                                                                   .ประเสริฐ จันดำ
                                                        ประชาชาติ (เนื่องในวันเสียชีวิตของจิตร ภูมิศักดิ์ 5 พฤษภาคม)